1. |
สัญญาซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขายตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ |
|
|
2. |
สัญญารับจ้างทำของนั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับจ้างตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ ให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ว่าจ้างและผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จของงานที่ทำนั้น ตามมาตรา 587 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ |
|
|
3. |
การพิจารณาชนิดของสัญญา จะไม่พิจารณาตามชื่อที่คู่สัญญาระบุไว้แต่พิจารณาตามเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญา ซึ่ง อาจปรากฏจากข้อความตอนหนึ่งตอนใดในสัญญาหรือปรากฏจากทางปฏิบัติของคู่สัญญาก็ได้ การซื้อขายและการรับจ้างทำของ จึงต่างกันที่การซื้อขายมุ่งถึงการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ส่วนการรับจ้างทำของมุ่งถึงการทำงานและผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ ซึ่งผลสำเร็จของงานอาจปรากฏออกมาเป็นทรัพย์สิ่งของหรือไม่ก็ได้ เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2537/2520 โจทก์ทำเสาไฟฟ้า คอนกรีตอัดแรงส่งแก่การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สัญญาที่โจทก์ทำกับการไฟฟ้าทั้งสองระบุว่าเป็นหนังสือสัญญา ซื้อขาย ข้อความในหนังสือสัญญาแสดงให้เห็นว่าคู่สัญญามีเจตนามุ่งจะให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์เพื่อตอบแทนการใช้ราคา มิใช่มุ่งหวังในผลสำเร็จในการงาน แม้ข้อความในสัญญาจะได้กำหนดคุณสมบัติ และลักษณะของทรัพย์ที่จะต้องส่งมอบว่าจะต้อง เป็นไปตามแบบและรายการแนบท้ายสัญญาก็เห็นได้ว่าเป็นการกำหนดรายละเอียดไว้เป็นเงื่อนไขในการรับซื้อ สัญญาดังกล่าว จึงเข้าลักษณะสัญญาซื้อขาย หาใช่สัญญาจ้างทำของไม่ และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2169 - 2170/2534 วินิจฉัยว่า การที่โจทก์ขายคอนกรีตผสมเสร็จให้ลูกค้าโดยผสมตามสูตรและอัตราส่วนของลูกค้านั้นเป็นสัญญาซื้อขายเพราะคู่สัญญามิได้หวังผลสำเร็จใน การงานอันเป็นสาระสำคัญที่จะให้เป็นสัญญาจ้างทำของ |
|
|
4. |
การพิจารณาสัมภาระกับการงานที่รับทำจนสำเร็จนั้นสิ่งไหนสำคัญกว่ากันในเรื่องสัญญาซื้อขายกับสัญญาจ้างทำของ มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2530 ได้วินิจฉัยข้อแตกต่างระหว่างการซื้อขายและการรับจ้างทำของนั้น หาได้อยู่ที่เจตนาและ กริยาของคู่กรณีที่ประพฤติต่อกันแต่ประการเดียวไม่ แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า สัมภาระกับการงานที่รับทำจนสำเร็จนั้นสิ่งไหน สำคัญกว่ากัน ถ้าการงานที่รับทำจนสำเร็จสำคัญกว่าสัมภาระก็เป็นรับจ้างทำของ แต่ถ้าไม่สำคัญกว่าก็เป็นการซื้อขาย |
|
|
5. |
มื่อพิจารณาข้อเท็จจริงหากปรากฏว่า การขายเครื่องต้มกุ้งพร้อมรถบรรทุก 6 ล้อ บริษัทฯ ต้องดำเนินการสร้าง โครงสร้างตู้ปีกนกที่ติดตั้งเพิ่มเติมบนรถบรรทุก 6 ล้อ เพื่อรองรับเครื่องต้มกุ้งพร้อมอุปกรณ์ โดยมีการออกใบกำกับภาษี 3 ฉบับ ค่ารถบรรทุก 6 ล้อ 1 ฉบับ ราคา 1,350,000 บาท เครื่องต้มกุ้ง 1 ฉบับ ราคา 2,486,000 บาท และค่าบริการติดตั้ง โครงสร้างตู้ปีกนกที่ติดตั้งเพิ่มเติมบนรถบรรทุก 6 ล้อ อีก 1 ฉบับ เป็นจำนวนเงิน 1,300,000 บาท หรือออกใบกำกับภาษี ฉบับเดียวแต่แยกรายการคือค่าสินค้าเป็นสองรายการและค่าบริการติดตั้งอีกหนึ่งรายการ เฉพาะค่าบริการติดตั้งที่แยกออก จากราคาสินค้าเข้าลักษณะเป็นเงินได้จากการรับจ้างทำของ ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายโดยคำนวณหักไว้ ในอัตราร้อยละ 3.0 ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528 |